ฟังธรรมะออนไลน์

ฟังธรรมะออนไลน์

คณะกรรมการ
มูลนิธิสวนแก้ว


ระเบียบการ
การบรรพชา – อุปสมบท
(บวชพระ - บวชเณร)


เล่าไว้เมื่อวัย73ปี พระราชธรรมนิเทศ

วารสารกัลยาโณ

ปฏิทินธรรม2567




หนังสือโฉนดกล้วยแขก ภาค2 "รู้... เท่าทัน... คำพิพากษ่า Not standrd สุดซอย"

 
อ่านเพิ่มเติมที่นี่







ชีวิตที่มีคุณค่า
พระพยอม กัลยาโณ นามเดิม พยอม นามสกุล จั่นเพชร ท่านเป็นชาวเมืองนนท์โดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 24 เดือนเมษายน พ.ศ. 2492 หรือปีฉลู สถานะเดิมเป็นชาวนา ชาวสวน มีฐานะยากจนมาก เรียนจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่4 เนื่องจากพ่อของท่านไม่มีเงินส่งให้เรียนต่อ จึงจำเป็นต้องออกจากโรงเรียน เพื่อรับจ้างขึ้นต้นหมากและต้นมะพร้าว

ในช่วงแรกของชีวิตถึอว่ายากจนมาก กว่าพ่อและแม่ของท่านจะซื้อที่ดินไว้ได้จำนวนหนึ่ง ต้องอดทนและขยันทำงานกันอย่างเต็มที่
   
ชีวิตในวัยเด็ก
ตอนเด็กๆ ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน พ่อเปล่ง และแม่สำเภาจะฝากเด็กชายพยอม ไว้กับย่าบ้าง หรือไว้กับปู่บ้าง เพราะพ่อและแม่ต้องไปทำนาที่อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี แต่ก็มีบางครั้งที่พ่อและแม่จะพาไปด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่พ่อและแม่กลับมาที่บ้านสวน เด็กชายพยอมจึงจะได้มีโอกาสอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้า กับพ่อและแม่อีกครั้ง บ้านของย่าและบ้านกระต๊อบของพ่อเปล่งและแม่สำเภาอยู่ใกล้ๆ กัน

แม่สำเภาเป็นคนที่เฉียบขาดมากในเรื่องที่ไม่ยอมให้ลูกๆ ทำผิด เช่น เมื่อครั้งที่เด็กชายพยอมเล่นสูบบุหรี่กับน้องโดยไม่ได้ใช้บุหรี่แท้ๆ แต่ใช้ใบตองและเอากาบมะพร้าวมามวนทำเป็นสูบเล่นๆ กับน้อง พอแม่สำเภากลับมาถึงบ้าน ก็ปรี่เข้าไปหาลูกพร้อมกับว่ากล่าวตักเตือน และทำโทษเด็กชายพยอม ตั้งแต่นั้นมาทุกคนรู้สึกเข็ด ไม่มีใครอยากสูบบุหรี่และดื่มเหล้าอีกเลย

ความประหยัดและความขยันของแม่ เป็นสิ่งที่ท่านจำติดตาตรึงใจมาก ตกเย็น เด็กชายพยอมจะต้องคอยช่วยแม่สำเภาเย็บเสื้อผ้าที่ขาดๆ เด็กชายพยอมจะช่วยดึงขอบผ้า พอแม่เย็บมาถึงตรงมือที่ดึงขอบผ้าไว้ก็จะเลื่อนมือ แล้วแม่ก็จะเย็บตามไป ทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนเสร็จ

อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ท่านคิดถึงแม่มากก็คือ ตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกัน แม่ตักเจอไข่ปลา แม่บดให้น้องของท่าน ก็พูดว่า
"แม่กินไข่ปลาไม่เป็นหรอ"
แต่แม่สำเภากลับบอกว่า "กินเป็น แต่อยากให้มึงกิน จะได้โตเร็วๆ"

ด้วยความเป็นคนประหยัด แม่สำเภามักจะเก็บเงินไว้ในลำไม้ไผ่ที่ปลูกเป็นหลังคาบ้าน หรือเรียกว่า "กลอน" สมัยนั้นไช้สตางค์รู แม่สำเภาจะเจาะแล้วเอาเลื่อยไปเลื่อยที่กลอน และเอาเงินซ่อนไว้ในนั้น แม่ตั้งใจจะปลูกบ้านให้ลูกมาก เพราะว่าบ้านเป็นกระต๊อบมุงจาก สิ่งที่แม่สำเภามุ่งมั่นที่สุดก็คือ ทำงานหนัก ฟันดินหาเงินตัวเป็นเกลียว เพื่อที่จะปลูกบ้าน ในที่สุดแม่สำเภาก็ล้มป่วยเมื่อใกล้จะครบกำหนดคลอดน้องคนที่ 11 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา พอสิ้นแม่สำเภาแล้ว บ้านทรุดโทรมมาก จึงตัดสินใจรื้อบ้าน ปรากฎว่าสตางค์รูที่แม่สำเภาเก็บไว้ในกระบอกไม้ไผ่ร่วงลงมาเป็นตะกร้าเลย ซึ่งท่านยังคงจำได้ติดตาว่านี่คืออุบายของแม่ที่จะเก็บสตางค์ไว้ให้ลูก
 
เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดสังวรพิมลไพบูลย์
โรงเรียนวัดสังวรเป็นโรงเรียนเล็กๆ อยู่ห่างจากบ้านไม่มากนัก ใช้เวลาเดินเพียง 10-15 นาที มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่งคือ เด็กชายพยอมไม่ชอบกลับบ้านตอนเพล คนอื่นวิ่งไปกินข้าว แต่เด็กชายพยอมไม่ไป กลับชอบดื่มน้ำและเล่นสนุก เพื่อจะอดข้าวกลางวัน เล่นหนังยิงทางไกล เล่นทอย เล่นปาไม้ตีไม้
   
บรรพชาเป็นสามเณร
บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสังวรพิมลไพบูลย์ เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2502 ซึ่งเป็นช่วงที่โรงเรียนปิดเทอม ถือเป็นการบวชเณรหน้าไฟและจูงศพแม่เข้าเมรุ เป็นการบวชตามธรรมเนียม ตอนแรกสามเณรพยอม ตั้งใจจะบวชเพียง 7 วัน แต่ในที่สุดก็บวชได้นานถึงเกือบเดือน ขณะนั้นไม่ได้เล่าเรียนอะไรมากนัก เพราะไม่ได้เป็นฤดูเข้าพรรษา แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สามเณรพยอมจำได้เป็นอย่างดีก็คือ "อย่าให้ศีลขาด"

เคยมีโยมแก่ๆ คนหนึ่ง เห็นมะม่วงตก สามเณรพยอมก็เลยไปเก็บมะม่วงด้วย ระหว่างที่กำลังเก็บมะม่วงอยู่นั้น โยมแก่ๆ ได้ถอยมาโดน สามเณรพยอมจึงร้องไห้วิ่งไปหาหลวงพ่อ บอกหลวงพ่อว่า
"ศีลขาดหมดแล้ว... โยมมาโดน โยมผู้หญิงมาโดน"

หลวงพ่อหัวเราะ ซึ่งทำให้สามเณรพยอมรู้สึกงงมาก ว่าทำไมหลวงพ่อจึงหัวเราะ เพราะหลวงพ่อเคยบอกว่า ถ้าโดนผู้หญิงแล้วศีลจะขาด แล้วทำไมจึงมาหัวเราะอีก หลวงพ่อน่าจะตกใจรีบต่อศีลให้ ตอนนั้นสามเณรพยอมทราบแต่เพียงว่า จะรักษาศีลให้ดีที่สุด

มีเณรอีกองค์หนึ่งที่เป็นเพื่อนกันและบวชพร้อมกัน ชอบเกเรและหาเรื่องอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆ ที่สามเณรพยอมพยายามจะหลบไปนั่งเงียบๆ อยู่หลังวัดเป็นประจำ ไม่ค่อยออกมาข้างหน้าวัด
 
ชีวิตในวัยรุ่น
ตอนเป็นวัยรุ่น ชีวิตเริ่มมีปัญหา ที่ดินที่พ่อแม่ปลูกบ้านไว้นั้นเป็นของอา อามีลูกหลายคนมาก และจำเป็นจะต้องใช้ที่ดินผืนนั้นปลูกบ้านให้ลูกของเขา นายพยอมรู้สึกกลุ้มใจมาก จึงตัดสินใจขายบ้าน และเริ่มรู้สึกอายเพื่อนๆ เพราะเพื่อนๆ มักจะพูดว่า
"แหม่...ไม่มีบ้านอยู่อีก จะไปอยู่ที่ไหน"
นายพยอมจึงตัดสินใจเก็บเงินอย่างเต็มที่จนซื้อที่ได้แปลงหนึ่ง ประมาณ 1 ไร่กว่าๆ เพื่อเอาไว้ปลูกบ้าน ตอนนั้นทำงานรับจ้างขึ้นหมากขึ้นมะพร้าว บังเอิญมีผู้ชายคนหนึ่งเป็นญาติกัน มีศักดิ์เป็นน้องเขยแต่อายุมากกว่า ไปทำงานก่อสร้างอยู่ก่อนแล้ว ญาติคนนั้นชวนไปทำงานด้วย นายพยอมจึงรู้สึกชอบงานก่อสร้าง และอยากจะเป็นช่างมาก พยายามอย่างที่สุดที่จะเรียนรู้งาน

มีอยู่ครั้งนึงไปทำงานที่โรงพยาบาลศิริราช สร้างตึก 8 ชั้น ได้ค่าแรงวันละ 16 บาท ทำงานได้เพียงวันเดียว หัวหน้าก็ขึ้นค่าแรงให้เป็นวันละ 18 บาท เพราะความขยันนั่นเอง

เวลาไปทำงาน นายพยอมจะเอาข้าวใส่ห่อพับ มีไข่ 1 ลูก เอาน้ำปลาใส่ขวดเล็กๆ ไปด้วย จะไม่ซื้ออะไรกินเลย ตั้งใจประหยัดเงินที่สุด เพราะต้องจ่ายค่าเรือถึงเที่ยวละ 2 บาท เพื่อไปทำงาน จึงเหลือเงิน 14 บาทต่อวัน แต่ถ้ารับจ้างดายหญ้า ค่าแรงจะถูกกว่า ได้รับเพียงวันละ 6 บาทเท่านั้น
เมื่อครั้งที่ไปทำงานกับหัวหน้าคนจีน ยังไม่มีความรู้เรื่องขนาดของไม้ว่าเป็นไม้ขนาดหน้ายกใด แต่ก็พยายามอดทน รับความรู้แบบครูพักลักจำมาเรื่อย จนกระทั่งค่าแรงที่ได้รับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 18 บาท เป็น 23 บาท ทำให้เริ่มมีเครื่องมือต่างๆ เป็นของตนเอง เริ่มซื้อฆ้อน ซื้อเลื่อย เพื่อจะได้เป็นช่างให้ได้ เพราะเป็นช่างได้ค่าแรงมากกว่าเป็นจับกัง และเริ่มรับเหมางานเล็กๆ เมื่ออายุได้ประมาณ 18-19 ปี

สมัยก่อนชาวมุสลิมชอบบ้านทรงไทยเก่าๆ จึงรับเหมารื้อบ้านแล้วขนขึ้นเรือแท็กซี่ ไปส่งที่พระโขนงบางครั้งได้กำไร แต่บางครั้งก็ขาดทุนจนเกือบจะหมดตัว ต้องจำนำฆ้อน จำนำเลื่อย กว่าจะไปไถ่ออกมาได้ เลือดตาแทบกระเด็น ดังนั้นเวลาที่พระพยอมเห็นคนตกงาน ท่านจึงคิดที่จะให้ความช่วยเหลือคนเหล่านั้น

ต่อมานายพยอมได้เป็นผู้รับเหมา รับค่าแรงวันวันละ 50-60 บาท บางวันได้กำไรมากถึง 300-400 บาท เงิน 300 บาท ในสมัยนั้นเปรียบเสมือนกับเงินหมื่นในสมัยนี้ เริ่มรู้สึกสนุก นำเงินที่หามาได้ไปซื้อเรือหางยาวลำหนึ่งขับอย่างมีหน้ามีตา

คนอื่นๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน พอได้เงินมามักจะชอบพาผู้หญิงไปเลี้ยงไปเที่ยว แต่นายพยอมไม่เคยทำ เพราะฝังใจในเรื่องที่ญาติๆ มักจะพูดถึงคนอื่นๆ ในละแวกนั้นให้ฟังบ่อยๆ ว่า คนเหล่านั้นพอมีเงิน หาเงินมาได้ มักจะหมดเงินเพราะพาเพื่อนผู้หญิงไปเที่ยว

ในสมัยที่เป็นวัยรุ่น ก็มีความรักแบบหนุ่มๆ สาวๆ อยู่บ้าง มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่บ้านติดกัน ทุกวันตอนประมาณ ตี 4 ตี 5 จะเห็นผู้หญิงคนนี้อยู่เป็นประจำ และได้ยินเสียงเขาตำน้ำพริกถี่ เสียงดังเป๊ก เป๊ก เป๊ก นายพยอมจึงนึกชอบมาก ตั้งใจว่าหลังจากบวชแล้วสึกออกมาแล้ว จะไปสู่ขอแน่นอน แต่พอดีบวชได้ไม่กี่วัน เขาก็แต่งงานไปเสียก่อน

ตอนที่เป็นรองหัวหน้าคุมงานก่อสร้าง มีผู้หญิงที่ไปรับจ้างหิ้วปูนมาชอบหลายคน แต่นายพยอมไม่ได้คิดชอบพวกเขาในลักษณะนั้น เพราะมีความตั้งใจที่จะไปสู่ขอคนที่ชอบอยู่ก่อนแล้ว บ่อยครั้งที่พวกเขาชวนให้พาหนี แต่นายพยอมก็บอกกับเขาว่า ไม่ได้ เพราะแม่สำเภาเคยย้ำไว้ว่า ต้องบวชให้ได้เสียก่อน

คำพูดเหล่านี้มีอิทธิพลมาก ด้วยความรักแม่ แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม นายพยอมตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่า ต้องบวชให้แม่ให้ได้เสียก่อน ถ้าไม่มีแม่พูดไว้อย่างนั้น อาจจะมีปัญหาเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เขามีปัญหากัน
 
 
  มูลนิธิสวนแก้ว

เลขที่ 55/1 หมู่ 1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140
55/1 M.1 Bang lane Subdistrict, BangYai District Nonthaburi 11140, Thailand
Tel : (66)02-595-1444, (66)02-595-1946
Fax. (66)02-921-5022
 
 
โอนเงินร่วมบริจาค ชื่อบัญชี
มูลนิธิสวนแก้ว โดยพระราชธรรมนิเทศ
 ธนาคารกสิกรไทย สาขา บางใหญ่ เลขที่บัญชี เลขที่ 269-2-12533-1
Email : bookkan54@gmail.com
©2020 Kanlayano All rights reserved.